
ในยุคที่ผู้คนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลตัวเองอย่างรอบด้าน แนวคิด Wellness จึงกลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ดังนั้น การเข้าใจแนวคิดด้าน Wellness อย่างถูกต้องจะช่วยให้เราสร้างสมดุลในชีวิตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
Wellness คืออะไร?

Wellness หมายถึงสภาวะที่บุคคลมีความเป็นอยู่ที่ดีในทุกด้านของชีวิต มีพลังงานในการดำเนินชีวิต ความสุข และความพอใจในสิ่งที่ทำ ดังนั้นการดูแลให้ตัวเองมี Wellness ที่ดี ไม่ใช่แค่เพียงการไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่เป็นการสร้างความสมดุลระหว่างร่างกาย จิตใจ และการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี
Wellness vs. การไม่มีโรค ต่างกันอย่างไร?
การไม่มีโรคเป็นจุดเริ่มต้นของ Wellness เพราะหมายถึงสภาวะที่ร่างกายไม่มีอาการป่วยหรือความผิดปกติ ในขณะที่ Wellness เป็นการมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังงาน มีความสุข และสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างดี
ซึ่งบุคคลที่มี Wellness ที่ดีจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง มีความยืดหยุ่นทางอารมณ์ และสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาหลังจากเกิดโรคแล้ว
องค์ประกอบของ Wellness มีอะไรบ้าง?
ด้านร่างกาย (Physical Wellness)
การดูแลร่างกายให้ดีสามารถเริ่มได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การพักผ่อนที่เพียงพอ และการหลีกเลี่ยงสารเสพติดหรือสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ด้านจิตใจ (Emotional & Mental Wellness)
Mental และ Emotional Wellness เป็นด้านที่เกี่ยวข้องกับการจัดการอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกได้อย่างดี รวมถึงการมีทัศนคติเชิงบวกต่อชีวิต การรู้จักตัวเอง และการรู้จักสร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจที่จะช่วยให้สามารถรับมือกับสภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความกดดัน หรือความท้าทาย
ด้านสังคม (Social Wellness)
Social Wellness เป็นด้านที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ซึ่งอาจจะไม่ได้หมายถึงการมีเพื่อนหรือคนรู้จักมากมาย แต่เป็นการมีความสัมพันธ์ที่ดีที่ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพราะผลลัพธ์จากการมีความสัมพันธ์ที่ดีจะสามารถช่วยลดความเครียด เพิ่มความสุข และสร้างความรู้สึกมั่นคงในชีวิตได้
ด้านสติปัญญา (Intellectual Wellness)
ด้านนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความรู้ ทักษะ และความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ การอ่านหนังสือ การแก้ปัญหา และการมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นองค์ประกอบสำคัญของด้านนี้ เพราะการกระตุ้นสมองจะช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพทางสมอง อีกทั้งยังช่วยสร้างความพอใจและความภาคภูมิใจในตัวเองได้เนื่องจากมีเป้าหมายในการเรียนรู้และการพัฒนาตัวเอง
ด้านจิตวิญญาณ (Spiritual Wellness)
ด้านนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับการค้นหาความหมายและการมีอยู่ของชีวิต ซึ่งการค้นหาสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับศาสนา แต่ยังสามารถเป็นการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ ศิลปะ หรือปรัชญาชีวิตก็ได้
การมี Spiritual Wellness ที่ดีช่วยสร้างความมั่นคงให้จิตใจได้แม้ว่าจะกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งวิธีที่จะช่วยเสริมด้านนี้นั่นก็คือการทำเมดิเทชั่น การทำสิ่งดีให้กับคนรอบข้าง ไปจนถึงการรีทรีทเพื่อให้ตัวเองได้ฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจนั่นเอง
ด้านสิ่งแวดล้อมและการเงิน (Environmental & Financial Wellness)
การดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น การจัดระเบียบพื้นที่อยู่อาศัย การลดการใช้สารเคมี และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและจิตใจให้ดีขึ้นได้ ในขณะเดียวกัน การจัดการการเงินอย่างเป็นระบบก็มีความสำคัญไม่น้อย เนื่องจากความเครียดทางการเงินสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้อย่างมากมาย ดังนั้น การมี Wellness ที่สมบูรณ์จึงต้องให้ความสำคัญกับทั้งสองมิตินี้
แนวโน้มและบทบาทของ Wellness ในยุคปัจจุบัน
แนวคิด Wellness ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในยุคปัจจุบัน เพราะผู้คนเริ่มตระหนักว่าความสำเร็จในชีวิตไม่ได้วัดจากความมั่งคั่งหรือตำแหน่งหน้าที่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงความสุข และสุขภาพที่ดีด้วย แม้กระทั่งธุรกิจหรือองค์กรต่าง ๆ เริ่มเห็นความสำคัญของ Employee Wellness มากขึ้น เพราะการมีพนักงานที่มีสุขภาวะที่ดีจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ และการลาออกที่ลดลง
ในด้านของเทคโนโลยีก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน Wellness ตั้งแต่แอปพลิเคชันติดตามสุขภาพ แพลตฟอร์มการฝึกสมาธิออนไลน์ ไปจนถึงเซ็นเซอร์ที่ช่วยตรวจสอบคุณภาพอากาศในบ้าน การเข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือสำหรับดูแลสุขภาพกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น
และในปัจจุบัน อุตสาหกรรม Wellness มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมตั้งแต่โรงพยาบาลสุขภาพ คลินิกสุขภาพ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เวชศาสตร์ชะลอวัย สปา ศูนย์นวด โยคะ ไปจนถึงการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ การเติบโตนี้สะท้อนถึงความต้องการของผู้บริโภคที่มีความตระหนักในการดูแลตัวเองมากขึ้น
อยากมี Wellness ที่ดีทำอย่างไรได้บ้าง?
ปรับพฤติกรรมการกินและการนอน
ขั้นพื้นฐานของ Wellness คือการปรับพฤติกรรมการกินและการนอนให้ดี รับประทานอาหารที่หลากหลาย ครบ 5 หมู่ ไปจนถึงการ เลือกอาหารที่ปรุงสดใหม่มากกว่าอาหารแปรรูป จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็น นอกจากนี้ การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นสิ่งจำเป็นต่อการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ การสร้างกิจวัตรก่อนนอน การหลีกเลี่ยงหน้าจอก่อนเข้านอน และการจัดห้องนอนให้เหมาะสมกับการพักผ่อน ช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอน อีกทั้งยังส่งผลดีต่อระบบดีท็อกซ์ของร่างกายเพื่อฟื้นฟูระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายได้ด้วย
ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์
การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องหนัก หรือใช้เวลานาน แต่ต้องเลือกให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ ความชอบ เพราะจะเป็นสิ่งที่สามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นด้วยกิจกรรมง่าย ๆ เช่น การเดิน การยืด การทำงานบ้านที่ช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือการโยคะ หรือการวิ่ง ซึ่งการทำกิจกรรมเหล่านี้ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และควบคู่ไปกับการฟังเสียงของร่างกาย
ฝึกสมาธิและสร้างสุขภาพจิตที่ดี
การฝึกสมาธิ (Meditation) เป็นกิจกรรมที่สามารถช่วยในเรื่องจัดการความเครียดและสร้างความสงบใจได้ โดยอาจเริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิเพียง 5-10 นาทีต่อวันเพื่อปล่อยวางความคิด พร้อมกับสังเกตลมหายใจ หรือการฝึก Mindfulness ในกิจวัตรประจำวันเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารอย่างตั้งใจ หรือการเดินอย่างมีสติ จะช่วยให้อยู่ในปัจจุบันมากขึ้นและลดความวิตกกังวลได้
การสร้างนิสัยในการบันทึกความคิดและความรู้สึก การแสดงความขอบคุณ และการทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดความสุข เช่น การฟังเพลง การอ่านหนังสือ หรือการทำศิลปะ จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดี
จัดสมดุลการทำงานและชีวิตส่วนตัว
Work-Life Balance เป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญของคนทำงานในยุคปัจจุบัน การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างเวลาทำงานและเวลาส่วนตัว การปิดอีเมลและการแจ้งเตือนจากงานหลังเลิกงาน และการให้เวลากับตัวเองและครอบครัวอย่างเต็มที่
การจัดลำดับความสำคัญของงานและการเรียนรู้ที่จะปฏิเสธงานที่ไม่จำเป็นหรือไม่สำคัญ จะช่วยลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การมีเวลาสำหรับงานอดิเรก การพักผ่อน และการสร้างความสัมพันธ์กับคนสำคัญ
การสร้างกิจวัตรที่สมดุลระหว่างการทำงาน การพักผ่อน และการดูแลตัวเอง รวมถึงการมีวันหยุดที่แท้จริง คือการไม่คิดถึงงานเลย จะช่วยให้มีพลังงานและความกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น
Mediwell Vitality: ฟื้นฟูความงามและสุขภาพ ชะลอวัยด้วยการแพทย์แบบผสมผสาน

รูปภาพจาก : mediwelle.com
ในบริบทของ Wellness ที่ครอบคลุมการดูแลสุขภาพอย่างองค์รวม Mediwelle Vitality เป็นศูนย์ดูแลด้านนี้โดยเฉพาะที่เน้นไปในด้านของศาสตร์ความงาม ศาสตร์ชะลอวัย และศาสตร์แพทย์แผนจีนเข้าด้วยกันผ่านการแพทย์แบบผสมผสานโดยมุ่งเน้นการป้องกันโรค การเสริมสร้างสุขภาพ และการชะลอวัยอย่างเป็นธรรมชาติ ผ่านการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยควบคู่กับการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ การบำรุงด้วยสารอาหารเฉพาะบุคคล และการจัดการความเครียด
สัมผัส Wellness แบบองค์รวมที่ Ceyla Anti-Aging and Wellness Studio Care โดยทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

รูปภาพจาก : ceyla-wellness
สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีดูแลสุขภาพและความงามอย่างลึกซึ้ง Ceyla Anti-Aging and Wellness Studio Care คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยแนวทางที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ความยั่งยืน และการดูแลแบบเฉพาะบุคคลที่ให้บริการด้านการชะลอวัยและการฟื้นฟูสุขภาพที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน โดยทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย การดูแลผิวพรรณ การปรับสมดุลภายใน และการบำบัดร่างกายด้วยความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การประเมินสุขภาพเบื้องต้น ไปจนถึงการออกแบบโปรแกรมเฉพาะบุคคล เพื่อให้เหมาะสมกับเป้าหมายของแต่ละคนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลผิวหน้า การปรับสมดุลฮอร์โมน การลดความเครียด หรือแม้กระทั่งการบำบัดเพื่อฟื้นฟูพลังงานชีวิต
Wellness ไม่ใช่แค่กระแส แต่คือแนวคิดเพื่อชีวิตที่สมดุลและยั่งยืน
การดูแลตัวเองไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกอย่างในทันที แต่เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ เช่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนอย่างมีคุณภาพ หรือฝึกสมาธิวันละไม่กี่นาที จุดสำคัญคือความสม่ำเสมอและการปรับให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา และถ้าหากคุณกำลังมองหาประสบการณ์ดูแลสุขภาพที่เน้นการฟื้นฟูจากภายในอย่าง Ceyla Anti-Aging and Wellness Studio ชั้น 14 และ Mediwelle Vitality ชั้น 2 อาคาร Gaysorn Amarin Tower ที่ Gaysorn Village คือสองทางเลือกที่น่าสนใจ ที่มีบริการครบทั้งด้านชะลอวัย ดูแลผิว ปรับสมดุลร่างกายโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยไปจนถึงโปรแกรมเฉพาะบุคคลที่จะตอบโจทย์ผู้ที่รักในการดูแลตัวเองอย่างแน่นอน